วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากการสร้างสรรค์ สั่งสม และสืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน ศิลปวัฒนธรรมไทยนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกอันทรงคุณค่าของชาติ เป็นเอกลักษณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง เพราะการที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นแบบฉบับของตนเองมาเป็นเวลายาวนาน ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ชาติไทยของเรามีความเจริญและมีอารยธรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาติใดๆ ในโลก ดังนั้นการดำรงรักษาไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ที่ว่า “การรักษาวัฒนธรรมคือการรักษาชาติ”
ในบรรดาศิลปวัฒนธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของชาติ และเป็นสิ่งที่สามารถบ่งชี้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์ได้อย่างดียิ่งนั้น “นาฎศิลป์” นับว่าเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุด สามารถแสดงออกได้โดยตนเองทั้งในลักษณะที่เข้มแข็งและอ่อนโยน นาฎศิลป์ถือว่าเป็นภาษาสากลเช่นเดียวกับดนตรี แต่ดีตรงที่ได้เห็นด้วยตาซึ่งทำความเข้าใจได้ทันที อีกทั้งมีความแนบเนียนกว่าภาษาทั่วไปตรงที่มีความละมุนละไมกว่า (เรณู โกศินานนท์, 2527, หน้า 2) นอกจากนี้นาฎศิลป์ไทยถือเป็นศาสตร์ทางศิลปะที่สำคัญยิ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในรูปแบบของการแสดงที่มีลีลาอ่อนช้อยงดงาม บ่งบอกถึงความประณีตรักสวยรักงาม แฝงด้วยจินตนาการและศิลปะอันละเอียดอ่อนของคนไทย แสดงถึงความเป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองและความมั่นคงของชาติที่ได้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล (วรสรวง สุทธิสวรรค์, 2541, หน้า 1)
ความหมายของคำว่า “ฟ้อน”
“ฟ้อน” คือ ระบำที่มีศิลปะ มักใช้คู่กับการรำอันเป็นศิลปะแห่งการรำเดี่ยว รำคู่ รำประกอบเพลง ถ้าผู้แสดงรำฟ้อนกันเป็นหมู่ เรียกว่า “ระบำ” หรือมักจะเรียกรวมกันว่า “ระบำรำฟ้อน” ทั้งฟ้อนและรำ มุ่งให้เกิดความเพลินตาเพลินใจ ในลีลาที่อ่อนโยนงดงามเข้ากับจังหวะกลมกลืนกับเสียงดนตรีและการขับร้องอันไพเราะ รวมทั้งเครื่องแต่งกายสวยสดของผู้แสดง มิได้มีเนื้อหาเป็นเรื่องเป็นราว
แหล่งกำเนิดฟ้อนแขบลาน
ฟ้อนแขบลาน หรือฟ้อนแถบลาน คือ การฟ้อนรำที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน โดยชาวบ้านเผ่าไทลาวในเขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการฟ้อนรำประกอบการขับกาพย์เซิ้งเพื่อประกอบในพิธีการทำบุญหลวงหรือบุญบั้งไฟ เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ในพิธีกรรมนี้จะมีการจุดบั้งไฟถวายเจ้าพ่อผาแดง ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ที่ผาแดง เพื่อให้เจ้าพ่อดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พิธีกรรมขอฝนด้วยการจุดบั้งไฟนี้ จะกำหนดเวลาในช่วงระยะเดือนห้า หรือเดือนหกของทุกๆปี สาเหตุที่เรียกการแสดงชุดนี้ว่าฟ้อนแถบลานเพราะตัวเสื้อของผู้แสดง จะนำใบลานย้อมสีเหลืองมาตัดและเย็บติดตามตัวเสื้อเป็นลวดลายที่สวยงาม และเอกลักษณ์เฉพาะของชาวบ้านหล่มสัก ฉะนั้น คำว่า “แขบลาน”จึงมาจากคำว่า “แถบลาน” ของตัวเสื้อของผู้ฟ้อน ลักษณะวิธีการฟ้อนแขบลานคล้ายกับการแสดงเซิ้งบั้งไฟทางภาคอีสาน แต่จะมีเอกลักษณ์ที่แปลกตาออกไป
ฟ้อนแขบลานจะมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่จะเป็นการฟ้อนที่มีอยู่ร่วมในขบวนการการบุญหลวง หรือบุญบั้งไฟที่มีขึ้นต้นฤดูฝน คือ ตั้งแต่เดือน 6 ของไทยไปจนถึงเดือน 8 ก่อนเข้าพรรษา สืบเนื่องมาจากอาชีพหลักส่วนใหญ่ของชาวบ้านอำเภอหล่มสักจะประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรม และอาศัยลักษณะดินฟ้าอากาศทางธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เมื่อจะเข้าสู่ฤดูการทำไร่ ทำนา ชาวบ้านจะทำพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณเจ้าพ่อผาแดง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “การเลี้ยงปี” การเลี้ยงปีนี้จะทำพิธีที่ศาลเจ้าพ่อผาแดง ซึ่งมีอยู่ประจำหมู่บ้าน และแต่ละหมู่บ้านจะมีชื่อเรียกศาลแตกต่างกันออกไป เช่น ตำบลบ้านติ้วเรียกศาลเจ้าพ่อมหศักดิ์ ตำบลบ้านหวายเรียกศาลเจ้าพ่อผาหล้า ตำบลบ้านโสกเรียกศาลเจ้าพ่อสีชมพู ตำบลนำดุกเรียกศาลเจ้าพ่อขุนด่าน ตำบลปากช่องเรียกศาลเจ้าพ่อหมื่นด่าน ศาลแต่ละหมู่บ้านเป็นศาลที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีดวงวิญญาณเจ้าพ่อผาแดงสถิตอยู่ และชื่อที่ใช้เรียกศาลนั้นเป็นชื่อขององค์รักษ์ที่คอยปกป้องรักษาเจ้าพ่อผาแดง ในการเลี้ยงปีนี้ กวนจ้ำจะเป็นผู้นำชาวบ้านในการทำพิธี “กวนจ้ำ” คือบุคคลที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ เพราะเชื่อว่าสามารถติดต่อกับดวงวิญญาณของเจ้าพ่อผาแดง
ก่อนวันที่จะมีการทำพิธีเลี้ยงปี กวนจ้ำจะออกเรี่ยไรเงินชาวบ้านคนละ 5 บาท 10 บาท หรือ 20 บาท แล้วแต่ศรัทธา นำเงินที่รวบรวมได้ ซื้อหมู 1 ตัว เพื่อที่จะฆ่าทำพิธีเลี้ยงปี เมื่อถึงวันเลี้ยงปี ชาวบ้านจะนำหมูที่ซื้อมาไปที่ป่าช้าเก่าท้ายหมู่บ้าน เพื่อนำไปฆ่าทำเป็นเครื่องสังเวยเจ้าพ่อผาแดง และจะแบ่งเนื้อหมูให้ได้ 500 ชิ้น เอาไปห้อยแขวนไว้ตามกิ่งไม้ เพื่อสังเวยให้กับผีที่ไม่มีญาติ เมื่อจัดเครื่องสังเวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว กวนจ้ำจะจัดขัน 5 ได้แก่ ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ ธูป 5 คู่ เพื่ออันเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อผาแดงให้มาประทับร่างทรงนางเทียม นางเทียมคือ ผู้หญิงที่เป็นร่างทรงของเจ้าพ่อผาแดงจะแต่งกายด้วยชุดผาแดง โพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ถือดาบเป็นอาวุธ นอกจากร่างทรงเจ้าพ่อผาแดง ยังมีร่างทรงเจ้าพ่อผาหล้า เจ้าพ่อสีชมพู เจ้าพ่อขุนด่าน เจ้าพ่อหมื่นด่าน ซึ่งเป็นองค์รักษ์ของเจ้าพ่อผาแดงลงประทับร่างทรงด้วย การแต่งกายของเจ้าพ่อทั้ง 4 องค์ จะแตกต่างกัน เจ้าพ่อผาหล้าจะแต่งชุดเขียว โพกศรีษะสีแดง เจ้าพ่อสีชมพูแต่งชุดสีชมพู โพกศรีษะสีชมพู เจ้าพ่อขุนด่าน เจ้าพ่อหมื่นด่านจะแต่งชุดสีแดง โพกศรีษะสีเหลือง เมื่อเจ้าพ่อผาแดงและเจ้าพ่อองครักษ์ทั้ง 4 ประทับร่างทรงแล้ว กวนจ้ำจะเชิญเจ้าพ่อมาที่ที่จัดเครื่องสังเวย เพื่อให้เจ้าพ่อรับเครื่องสังเวย ในการจัดเครื่องสังเวยได้ดีเป็นที่พอใจของเจ้าพ่อผาแดงและองครักษ์ บรรดาเจ้าพ่อจะแสดงกิริยาอาการที่ตรงกันข้ามกับมนุษย์ คือถ้าพอใจ ดีใจ จะร้องไห้ตีโพยตีพาย แต่ถ้าไม่พอใจในเครื่องสังเวย จะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน และการพูดจาก็จะตรงกันข้ามกับความหมายจริง เช่น เจ้าพ่อผาแดงพูดว่าปีนี้นำจะอุดมสมบูรณ์ ความหมายก็คือ ปีนี้จะแห้งแล้งไม่มีน้ำทำนา อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเจ้าพ่อรับเครื่องสังเวยแล้วจะทำการเสี่ยงเรือที่สระน้ำในป่าช้า เพื่อทำนายดินฟ้าอากาศ ลักษณะของเรื่องที่ใช้เสี่ยงทายนี้ จะใช้กาบกล้วยตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 1 ศอก ตรงกลางจะปักธูป เทียน ดอกไม้ ถ้าเรือที่เสี่ยงจมน้ำแสดงว่าจะแห้งแล้ง เจ้าพ่อผาแดงเจ้าพ่อผาแดงจะสั่งให้มีการแห่บั้งไฟจุดถวาย เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แต่ถ้าเรือที่เสี่ยงทายลอยตามน้ำหมายความว่า พืชพรรณธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ ก็จะเว้นไม่มีการแห่บั้งไฟ เมื่อทำนายทายทักเสร็จแล้วร่างทรงเจ้าพ่อจะพากันร้องรำทำเพลงเป็นที่สนุกสนาน เป็นอันเสร็จพิธีการเลี้ยงปี
จากการทำนายของเจ้าพ่อผาแดงที่ท่านได้ทำนายว่าปีนี้ ดินฟ้าอากาศจะแห้งแล้งไม่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จะทำพิธีแห่บั้งไฟถวายเพื่อให้เจ้าพ่อผาแดงบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ในการแห่บั้งไฟจะใช้วัดเป็นศูนย์กลางในการจัดงาน โดยชาวบ้านจะนำบั้งไฟมาแห่รอบโบสถ์ และในขบวนแห่นี้จะมีการแสดงของชาวบ้านที่มาร่วมในงาน เช่น ขบวนการฟ้อนแขบลาน ขบวนตัวตลกแต่งตัวเขียนหน้าทาปากแดง ขบวนเซิ้งกาพย์ สำหรับเซิ้งกาพย์นั้น เป็นภาษาถิ่น คำที่ร้องจะสัมผัสคล้องจองกัน และเป็นการร้องที่สนุกสนานใช้ประกอบในการฟ้อนแขบลาน
ลักษณะการแต่งกาย
การแต่งกายในสมัยก่อน ผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงเหมือนกันหมด เนื่องจากในสมัยก่อนถือว่าผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ผู้ชายจะเป็นฝ่ายแสดงออก จึงผู้ชายแสดงล้วน ปัจจุบันนี้จะผู้หญิงแสดง แต่จะมีบางหมู่บ้านที่ยังใช้ผู้ชายแสดง เช่น บ้านน้ำดุก ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมเอาไว้
เครื่องแต่งกายฟ้อนแขบลานมีดังนี้
1. ซิ่นมุก เป็นผ้าพื้นสีแดง ทอลายมุกด้วยสีต่าง ๆ กันบนผืนผ้า มีลายขวางที่ชายข้างล่างผ้าซิ่นจะเป็นสีแดง
2. เสื้อแขนยาวสีดำ ตกแต่งลวดลายด้วยใบลาน โดยนำใบลานอ่อน ๆ ไปตากให้แห้งเอาไปย้อมสีเหลืองสด แล้วนำมาตัดทำลวดลายเย็บติดกับตัวเสื้อ
3. ผ้าโพกสีแดง
4. เล็บมือสำหรับสวมนิ้วมือ ทำด้วยไม้ไผ่หรือไม้รวกที่สานจากเส้นตอก ทำให้เป็นกรวยสำหรับใช้สวมนิ้วมือเข้าไป ตรงปลายไม้ที่เป็นเล็บจะใช้พรมสีแดงทำเป็นพู่
โอกาสในการแสดง
การฟ้อนแขบลาน ตามที่กล่าวมาแล้วคือ เป็นการฟ้อนรำในขบวนแห่บั้งไฟ เพื่อบวงสรวงดวงวิญญาณเจ้าพ่อผาแดง เมื่อถึงวันทำพิธีแห่บั้งไฟชาวบ้านจะมาชุมนุมกันที่วัด พอได้เวลาทำพิธี กวนจ้ำจะอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อผาหล้า เจ้าพ่อสีชมพู เจ้าพ่อขุนด่าน เจ้าพ่อหมื่นด่าน ประทับร่างทรงนางเทียม ต่อจากนั้นบรรดาเจ้าพ่อจะนำขบวนแห่บั้งไฟเดินวนรอบพระอุโบสถ 3 รอบ ในขณะที่เดินแห่นี้จะมีการฟ้อนแขบลานตามหลังขบวนเจ้าพ่อ การฟ้อนแขบลานนี้อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นการแสดงความสนุกสนานของเหล่าบรรดาทหารที่ติดตามเจ้าพ่อผาแดงมาในขบวนแห่บั้งไฟสมัยก่อน ในการแห่บั้งไฟนี้จะมีการตีกลองในจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เหล่าบรรดาทหารรู้สึกครึกครื้นสนุกสนาน จึงทำท่าขยับแขน-ขยับขา ให้เข้ากับจังหวะกลอง ต่อมาจึงกลายเป็นประเพณีที่ชาวบ้านนิยมแสดงสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้เหตุที่ใช้ฟ้อนแขบลานประกอบการแห่บั้งไฟ อาจสันนิษฐานได้ 2 สาเหตุคือ
1. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ในหนังสือนิทานประวัติศาสตร์โบราณคดี ตอนไปเมืองเพชรบูรณ์ มีข้อความว่า ระหว่างเพชรบูรณ์กับหล่มสัก มีต้นลานขึ้นอยู่เป็นหมู่ใหญ่ บางแห่งจะมีต้นลานขึ้นล้วน จะหาต้นไม้อื่นแซมไม่ได้เลย ต้นลานที่เพชรบูรณ์มีลำต้นสูงใหญ่ ชูสล้าง ใบยาวราว 60 ศอก มีอายุนับตั้งแต่ร้อยปีทั้งนั้น ท่านผู้รู้บางท่านบอกว่า ต้นลานมีอายุยืนถึง 150 ปี เพชรบูรณ์เป็นที่ๆมีต้นลานมากกว่าจังหวัดอื่น ใบลานที่นำมาจารึกเป็นคัมภีร์พระธรรมก็ว่านำไปจากเมืองนี้โดยมาก
2. การที่ใช้ฟ้อนแขบลานมาประกอบการแห่บั้งไฟ เพราะลักษณะท่าฟ้อนบางท่าเหมือนกับท่ารำดาบของทหารโบราณ เช่น ท่าเกี้ยวเกล้า ซึ่งได้กล่าวไว้ในโคลงนิราศหริภุญชัยมีข้อความว่า
สูญญารามหนึ่งนั้น ปูนเล็ง
มีรูปทั้งเม็ง ม่านเงี้ยว
ถือดาบกับเกง สกับแก่น คมแฮ
เชิงชาติฟันเกล้าเกี้ยว แกว่นสู้สงคราม
จากโคลงข้างต้นจะเห็นว่า ในสมัยก่อนทหารใช้ดาบเป็นอาวุธในการทำศึกสงครามและการแต่งตัวของฟ้อนแขบลานคล้ายกับชุดทหาร เช่น ลักษณะการใช้ผ้าโพกศรีษะ จะใช้ผ้าพันรอบศรีษะ และมีผ้าห้อยลงมาปิดหูทั้งสองข้าง คล้ายกับหมวกหูกระต่ายของทหาร และลักษณะขบวนแห่บั้งไฟที่มีร่างทรงนำขบวนฟ้อนแขบลาน จะคล้ายกับขบวนการเสด็จ ของกษัตริย์ในสมัยก่อน ที่จะต้องมีทหารติดตามขบวนเพื่อแสดงความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ และเสริมบุญบารมีของกษัตริย์ในอดีต ต่อมาจึงได้วิวัฒนาการขึ้นจากที่เคยใช้ดาบก็เปลี่ยนเป็นใช้เล็บแทน และที่เคยแสดงท่าทางประกอบจังหวะกลองเพียงอย่างเดียว ก็มีการนำบทร้องมาแทรกประกอบการแสดง และยังปรับปรุงท่ารำให้ดูเป็นการฟ้อนที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวยิ่งขึ้น
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง
1. กลองปั้งหรือกลองใบใหญ่ 1 ใบ เมื่อเวลาออกแสดงจะมีคนหาม 2 คน คนตี 1 คน ซึ่งเป็นกลองที่ใช้ภายในวัด เป็นกลองที่ทางวัดใช้ตีบอกเวลาตอนเพล ลักษณะของเสียงกลองที่ตีจะดัง ตึง...ตึง...ตึง...ตึง...ตึง...ตึง...ตึง...ตึ่ง...ตึ้ง...ตึ่ง...ตึง
2. ฉาบ เป็นเครื่องตีอีกชนิดหนึ่งที่ทำด้วยโลหะรูปร่างคล้ายฉิ่ง แต่หล่อบางกว่าฉิ่ง มีขนาดใหญ่กว่าและกว้างกว่าฉิ่ง ตอนกลางมีปุ่มกลมทำให้กระพุ้งขนาดวางลงในอุ้งมือ 5 นิ้ว ขอบนอกแบราบออกไปโดรรอบและเจาะรูตรงกลางกระพุ้งไว้ร้อยเชือกหรือเส้นหนังสำหรับถือ ต่อมาได้ทำขึ้นเป็น 2 ขนาด ขนาดเล็กเรียกว่า “ฉาบเล็ก” ขนาดใหญ่เรียกว่า “ฉาบใหญ่”
3. ฆ้อง เป็นเครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะเช่นเดียวกับฉาบ รูปร่างคล้ายฉาบ คือ มีปุ่มตรงกลางและฐานแผ่ออกมาโดยรอบ ที่ต่างกับฉาบก็คือ หล่อโลหะหนากว่าฉาบและหักงุ้มออกไปเป็นขอบคนละด้านกับปุ่มที่โป่งออกมา ขอบที่หักงุ้มออกมานั้นเรียกว่า “ฉัตร” และที่ขอบหรือฉัตรนั้นจะเจาะรู 2 รู ไว้สำหรับร้อยเชือกหรือหนังเพื่อใช้ถือ และมีไม้ตีต่างหาก
บทร้องและทำนองเพลง
บทร้องที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อนแขบลานนี้ เป็นการผูกถ้อยคำให้มีเสียงสอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดความไพเราะรื่นหู โดยความหมายของคำที่นำมากล่าว เป็นบทร้องที่เน้นถ้อยคำที่ชวนตลกขบขัน สำหรับบทร้องนี้ สามารถจะเปลี่ยนให้เหมาะสมกับโอกาส และลักษณะของเทศกาลที่จะแสดงฟ้อนแขบลานได้ตามความต้องการ
ประโยชน์และคุณค่าของการฟ้อนแขบลาน
คุณค่าทางด้านร่างกาย (Physical Value
การฟ้อนรำเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพราะการฟ้อนรำเป็นกิจกรรมของการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ลำตัว แขน ขา และมือ ให้ประสานเข้ากับจังหวะดนตรี การฝึกหัดการฟ้อนรำจึงช่วยการปรับปรุงทักษะของการเคลื่อนไหว การทรงตัว ทำให้ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อ และถ้าฝึกหัดจนเกิดความชำนาญแล้วก็สามารถควบคุมอวัยวะทุกส่วนให้ประสานงานกันอย่างกลมกลืน ซึ่งหมายถึงการฟ้อนได้อย่างสวยงาม
คุณค่าทางสังคม (Social Values)
การฟ้อนเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชน การได้ร่วมกันฟ้อนเช่นในงานบุญต่างๆ จะก่อให้เกิดความเป็นมิตร ซึ่งส่งผลให้เกิดความสงบสุขในชุมชน
คุณค่าทางวัฒนธรรม (Cultural Values)
การฟ้อนรำเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นเครื่องแสดงความเป็นอารยชาติ ชาติใดไม่มีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ชาตินั้นก็จะได้ชื่อว่าไม่มีความเจริญเป็นของตนเอง นอกจากนั้นศิลปวัฒนธรรมยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความภาคภูมิใจของชนในชาติ
คุณค่าทางนันทนาการ (Recreational Values)
การฟ้อนรำจะทำให้ได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของอารมณ์ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ดังนั้นชาวอีสานจึงนิยมจัดให้มีการฟ้อนรำหรือการละเล่นเพื่อความสนุกสนานหลังจากการทำงานหรือในหลังฤดูการเก็บเกี่ยว
ความสำคัญของนาฎศิลป์ นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านศิลปะและการแสดงถึงความเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว นาฎศิลป์ยังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้เพราะเป็นกิจกรรมที่สามารถเสริมสร้างผู้เรียนให้มีวินัยในตนเอง รู้จักระเบียบในการแสดงออกร่วมกับผู้อื่น มีสมาธิ มีความพยายามอดทนในการฝึกซ้อม มีความรับผิดชอบต่อผลงาน รู้จักความไพเราะของเสียงเพลงและการแสดง เสริมสร้างความรู้ความสามารถในการวิจารณ์และตัดสินได้อย่างมีเหตุผล ช่วยให้ใช้เวลาว่างในทางที่เป็นประโยชน์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการที่สำคัญคือ ช่วยให้เด็กได้รู้คุณค่าของดนตรีและนาฎศิลป์ รู้คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เข้าใจศิลปะของชาติอื่นๆ (อรวรรณ บรรจงศิลป์ และ อาภรณ์ มนตรีศาสตร์, 2527, หน้า 460-461) และช่วยกันสืบทอดและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป
ความสำคัญของนาฎศิลป์ นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านศิลปะและการแสดงถึงความเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว นาฎศิลป์ยังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้เพราะเป็นกิจกรรมที่สามารถเสริมสร้างผู้เรียนให้มีวินัยในตนเอง รู้จักระเบียบในการแสดงออกร่วมกับผู้อื่น มีสมาธิ มีความพยายามอดทนในการฝึกซ้อม มีความรับผิดชอบต่อผลงาน รู้จักความไพเราะของเสียงเพลงและการแสดง เสริมสร้างความรู้ความสามารถในการวิจารณ์และตัดสินได้อย่างมีเหตุผล ช่วยให้ใช้เวลาว่างในทางที่เป็นประโยชน์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการที่สำคัญคือ ช่วยให้เด็กได้รู้คุณค่าของดนตรีและนาฎศิลป์ รู้คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เข้าใจศิลปะของชาติอื่นๆ (อรวรรณ บรรจงศิลป์ และ อาภรณ์ มนตรีศาสตร์, 2527, หน้า 460-461) และช่วยกันสืบทอดและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป
ปัจจุบันพบว่าในการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทย นาฎศิลป์พื้นบ้านได้รับความสนใจและความนิยมจากคนรุ่นใหม่น้อยมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากกระแสของความนิยมและรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาเผยแพร่ บทบาทหน้าที่ของนาฎศิลป์พื้นบ้านของไทยก็ถูกแทนที่ด้วยนาฎศิลป์สากลสมัยใหม่ นาฎศิลป์พื้นบ้านของประเทศไทยกำลังประสบปัญหาและกำลังจะสูญหายไป เนื่องจากไม่ได้มีการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมของท้องถิ่น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนและอนุรักษ์นาฎศิลป์พื้นบ้านให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของนาฎศิลป์พื้นบ้าน ให้มีความรัก ชื่นชม ซาบซึ้ง หวงแหน ตลอดจนช่วยกันอนุรักษ์สืบทอดนาฎศิลป์พื้นบ้านของตนเองเพื่อเป็นการจรรโลงนาฏศิลป์ท้องถิ่นให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทยสืบต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง
เรณู โกศินานนท์. (2527). รำไทย. กรุงเทพฯ : คุรุสภา.
วรสรวง สุทธิสวรรค์. (2541). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกิจกรรมนาฏศิลป์ ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนซ่อมเสริม 2 รูปแบบ
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนซ่อมเสริม 2 รูปแบบ
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
อรวรรณ บรรจงศิลป์ และ อาภรณ์ มนตรีศาสตร์. (2527). หลักการสอนดนตรี
นาฏศิลป์. เอกสารการสอนชุดวิชา การสอนกลุ่มสร้างเสริมลักษณะ
นิสัย เล่มที่ 2 หน่วยที่ 8 สาขาศึกษาศาสตร์. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัย
นาฏศิลป์. เอกสารการสอนชุดวิชา การสอนกลุ่มสร้างเสริมลักษณะ
นิสัย เล่มที่ 2 หน่วยที่ 8 สาขาศึกษาศาสตร์. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมมาธิราช.
ทักทาย
ตอบลบไล่ดูบทความก่อน ทำไม่มีตัวเล็กตัวใหญ่ปะปนกันไปละ ปรับหน่อยนะครับ บทความยังไม่จบใช่หรือเปล่า เพราะยังไม่เห็นบทสรุป บางช่วงผู้เขียนบทความจะเว้น ย่อหน้าหรือข้อความจะติดต่อกัน ควรใส่อ้างอิงที่สมบูรณ์ในท้ายบทความอีดนิด จะดีมาก
ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน
ขอบคุณสำหรับคำติชมนะครับ เป็นประโยชน์สำหรับผู้เขียนมาก ผู้เขียนลืมตรวจทานก่อนที่จะเผยแพร่ แล้วจะนำไปปรับใช้นะครับ
ตอบลบอยากจะขอถามว่าสำหรับคำว่าแขบลานนั้นมีความหมายเดียวกันกับ แถบลานซึ่งเป็นการแสดงของภาคอีสานซึ่งอาจเป็นรากจากวัฒนธรรมเดียวกันหรือไม่ ซึ่งอยากให้มีเนื้อหาที่เพิ่มในส่วยความหมายและที่มาของคำว่าแขบลานและแถบลานดังที่กล่าวมาขั้นต้น เพราะคิดว่าถ้าเพิ่มเนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นบทความที่มีความสมบูรณืมากขึ้น นะพี่หนุ่ยจากอดีตเด็ก วนศ. ชม.
ตอบลบขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะครับ ผู้เขียนได้เพิ่มเติมรายละเอียดของความหมายคำว่าแขบลาน หรือแถบลานเรียบร้อยแล้วนะครับ หากมีคำแนะนำอื่นๆอีก บอกผู้เขียนให้ทราบด้วยนะครับ เพื่อความสมบูรณ์ของบทความยิ่งขึ้น
ตอบลบเป็นบทความที่ดีนะค่ะไม่เคยรู้มาก่อนในการฟ้อนแขบลาน ควรจะมีการสรุปใจความสำคัญให้กระชับมากยิ่งขึ้นและควรสรุปความคิดเห็นของผู้เขียนบทความมากขึ้นเพราะจะทำให้บทความดูน่าอ่านมากยิ่งขึ้น
ตอบลบขอเพิ่มเติมนะค่ะ บทร้องที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อน
ตอบลบแขบลานนี้คือการร้องเซิ้งกาพย์
จากkrumali